คำว่ายองหรือ "ญอง"อันเป็นชื่อเมืองนั้น ตำนานเมืองยองอธิบายว่าเป็นชื่อหญ้าชนิดหนึ่งที่เคยขึ้นในบริเวณเมืองยอง ครั้งหนึ่งมีนายพรานมาจากอาฬวีนคร ได้จุดไฟเผาป่าทำให้หญ้ายองปลิวไปทั่ว
เมืองยองมีชื่อเป็นภาษาบาลีว่า "มหิยังคนคร"(ตำนานเมืองยอง) ตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงตุง ห่างกันประมาณ ๘๐ กม. ห่างจากแม่สายประมาณ ๑๕๗ กม. บริเวณเมืองยองเป็นแอ่งที่ราบกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ ภูมิประเทศด้านตะวันตกสูงกว่าด้านตะวันออก แม่น้ำสายสำคัญคือน้ำลาบ น้ำวัง และน้ำยอง จึงไหลไปทางทิศตะวันออก
เมืองยองมีชื่อเป็นภาษาบาลีว่า "มหิยังคนคร"(ตำนานเมืองยอง) ตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงตุง ห่างกันประมาณ ๘๐ กม. ห่างจากแม่สายประมาณ ๑๕๗ กม. บริเวณเมืองยองเป็นแอ่งที่ราบกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ ภูมิประเทศด้านตะวันตกสูงกว่าด้านตะวันออก แม่น้ำสายสำคัญคือน้ำลาบ น้ำวัง และน้ำยอง จึงไหลไปทางทิศตะวันออก
การตั้งถิ่นฐานของชาวยองในเมืองลำพูน
ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๙-๒๒ ในยุคที่อาณาขนาดจักรใหญ่ได้ขยายตัวออกไปโดยการทำสงคราม เช่น พม่า จีนหรือสิบสองพันนา ดังนั้น ล้านนาและล้านช้างจึงให้ความสำคัญต่อการเพิ่มกำลังคนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการขยายอำนาจและสร้างอาณาจักร และยังใช้เป็นสิ่งที่แสดงอิทธิพลเหนือดินแดนต่างๆ ในปริมณฑลแห่งอำนาจหรือเมืองชายขอบ
จากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เมืองยอง จึงอยู่ท่ามกลางการขยายอำนาจ และการแสดงอิทธิพลของศูนย์อำนาจต่างๆ ตลอดเวลา การอยู่ในฐานะรัฐกันกระทบหรือรัฐกันชน(Buffer State) ระหว่างอาณาจักรใหญ่ ต้องปรับตัวโดยการสร้างความสัมพันธ์ในหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดความสมดุลของอำนาจจากฝ่ายต่างๆ ที่อยู่รายรอบ ทำให้เมืองยองมีลักษณะเป็นเมืองที่เรียกกันว่า "เมืองสามฝ่ายฟ้า" เพราะมีความสัมพันธ์ในเชิงบรรณาการ(tribute) และเชิงอำนาจกับจีน พม่าและเชียงใหม่ในเวลาเดียวกัน ในยามทำสงคราม เมืองยองจึงถูกดึงเข้าสู่การสู้รบ โดยถูกเกณฑ์ทั้งเสบียงอาหารและผู้คน ตลอดจนการกวาดต้อนผู้คนไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่างๆ ครั้งที่มีความสำคัญมากที่สุดคือ เมื่อกองทัพเชียงใหม่สมัยพระเจ้ากาวิละ นำโดยเจ้าอุปราชธัมมลังกา และเจ้าฅำฝั้น ได้ยกกองทัพขึ้นไปกวาดต้อนผู้คนจากเมืองยองและเมืองใกล้เคียง โดยเฉพาะหัวเมืองต่างๆ ทางตอนบนที่เคยมีความสัมพันธ์กันในด้านสังคมและวัฒนธรรมมาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนและเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๓๔๘ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของพระเจ้ากาวิละโดยการสนับสนุนของกรุงเทพฯ เพื่อฟื้นฟูบ้านเมืองต่างๆ ในล้านนา เพราะได้รับความเสียหา
ยจากสงครามและการยึดครองของพม่า เมืองเชียงแสนซึ่งเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายที่พม่าได้ใช้เป็นฐานกำลังสำคัญในการควบคุมหัวเมืองต่างๆ ในดินแดนทางตะวันออกบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางได้ถูกกองทัพของเจ้ากาวิละตีแตกในปี พ.ศ.๒๓๔๗


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น